วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวประจำสัปดาห์ที่ 8

ศูนย์ข้อมูลหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรับสมัคร “ผู้สื่อข่าวไอทีและเจ้าหน้าที่จัดทำภาษาHTML

ศูนย์ข้อมูลหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรับสมัคร “ผู้สื่อข่าวไอทีและเจ้าหน้าที่จัดทำภาษาHTML”
ศูนย์ข้อมูลหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรับสมัครเจ้าหน้าที่ศูนย์ข้อมูล
ผู้สื่อข่าวไอที (เว็บไซต์)
- เพศชาย-หญิง อายุไม่เกิน 25 ปี
- ปริญญาตรีด้านนิเทศศาสตร์/สารนิเทศศาสตร์
- มีความรู้ด้านไอที และใช้อินเทอร์เน็ตเป็นประจำ
- ความรู้ภาษาอังกฤษดี
เจ้าหน้าที่จัดทำภาษา HTML (เว็บไซต์)
- วุฒิ ปวส. คอมพิวเตอร์ธุรกิจหรือสาขาที่เกี่ยวข้อง
- อายุไม่เกิน 25 ปี
- มีพื้นฐานความรู้ภาษา HTML
- พิมพ์ดีดภาษาไทย-อังกฤษอย่างน้อย 30 คำ/นาที
- สามารถทำงานเป็นกะได้
ผู้ที่สนใจตำแหน่งงานดังกล่าว ให้สมัครด้วยตนเอง
พร้อมเอกสารครบชุดที่ แผนกบุคคล นสพ.ไทยรัฐ
เลขที่ 1 ถ.วิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร
กรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 0-2272-1030 ต่อ 1446
ตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2550
ระหว่างเวลา 8.30 - 16.00 น

ที่มา : http://www.whitemedia.org/wma/content/view/1317/10/

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 7

ความเป็นมาของหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

ศูนย์ข้อมูล หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เป็นหน่วยงานเทียบเท่าแผนก สังกัดกองบรรณาธิการ เริ่มก่อตั้งในปี 2506 เรียกว่า” แผนกข่าวภาพ - เอกสาร” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “แผนกประวัติ -ภาพ - ข่าว” ในปี 2518 ก่อนจะจัดตั้งเป็นแผนก “ห้องสมุด” ในปี 2522 และเป็นแผนก “ศูนย์ข้อมูล” ในปี 2530 ศูนย์ข้อมูล มีภาระหน้าที่หลักในการให้บริการแก่พนักงานใน กองบรรณาธิการที่เกี่ยวข้องกับงานข่าว ตลอด 24 ชั่วโมง โดยต้องทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ ฟิล์มและภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ รวมทั้งเอกสารข้อมูลอื่นๆ ที่จำเป็นเพื่อใช้ประกอบการเขียนข่าวใน กองบรรณาธิการ ต่อมาต้นปี 2538 บริษัทวัชรพล จำกัด มีนโยบายที่จะปรับปรุงศูนย์ข้อมูลให้มีความทันสมัย และสามารถให้บริการแก่ กองบรรณาธิการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างฐานข้อมูลรองรับการขยายตัว ของบริษัทในอนาคต โดยได้นำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้กับการจัดการข้อมูลประเภทต่างๆ Clipping ข่าวของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และหนังสือพิมพ์หลักอื่นๆ ตั้งแต่ ปี 2516 - ปัจจุบัน ฟิล์ม Negative เหตุการณ์ข่าวต่างๆ ตั้งแต่ ปี 2516 - ปัจจุบัน พร้อมทั้งภาพประกอบสารคดีต่าง ๆ รูปภาพข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐทั้งในรูปแบบของภาพสี ขาวดำ และดิจิตอล ประวัติบุคคลสำคัญ รวมทั้งฐานข้อมูลนามและตำแหน่งที่สำคัญต่างๆ กว่า 2 แสนรายการ Clipping (กฤตภาค) บทความในหนังสือพิมพ์ต่างๆ ที่น่าสนใจ รวมทั้งแฟ้มข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ข้อมูลประเทศ ข้อมูลจังหวัด และข้อมูลพรรคการเมือง วารสาร/นิตยสารรายต่างๆ ซึ่งได้มีการจัดทำดรรชนีของเรื่องราว และปกิณกะที่น่าสนใจเอาไว้อย่างเป็นระบบ หนังสืออ้างอิงประเภทต่างๆ ได้แก่ ราชกิจจานุเบกษา รายงานประจำปีของหน่วยราชการ และบริษัทเอกชนต่างๆ หนังสือทั่วไป แบ่งตามหมวดหมู่เช่นเดียวกับห้องสมุดทั่วไป
ศูนย์ข้อมูลหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เปิดให้บริการด้านข้อมูลข่าวสารแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ทุกวันไม่เว้นวันหยุด ตั้งแต่เวลา 9.00 - 17.00 น.

ที่มา : http://www.thairath.co.th/corp/infocenter

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ส่งงาน E-books

คู่มือการใช้งาน ระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Us

ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ตามตัวเลือก ท่านเพียงระบุ E-Mail ของผู้รับ ... นอกจากนี้ ยังมีปุ่มลูกษรที่ใช้ส าหรับการเลื่อนไปยังไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ฉบับ ...
manual.pdf - book search คู่มือการใช้งาน ระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์

ที่มา

My eBay Secrets

My rule for eBay success is to always seek out a 30:1 or higher return ratio between the .... The fundamental secret insider rule to a successful eBay ...
myebays.pdf - book search ebay secrets

ที่มา

eBay CAN

The eBay CAN! Matching Gift Program represents an important part of our corporate giving and is one of the ways that eBay Inc., in ...
eBay.pdf - book search ebay

ที่มา

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 6

หนังสือพิมพ์ ตายแล้ว !!! เจาะลึก "แหล่งข่าว"exclusive

นักวิชาชีพและผู้เกี่ยวข้อง ทำนายว่า หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร กำลังจะตาย อีกไม่เกิน 10 ปี เพราะคนเลิกอ่านสื่อกระดาษ อะไรทำให้ อุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์ ใกล้อัศดง ต้องอ่าน บทสัมภาษณ์ลึกๆ ตรงๆ ของคนทำสื่อและคนเสพสื่อที่มีต่อกระดาษเปื้อนหมึก
ประชาชาติธุรกิจ ออนไลน์ เปิดงานวิจัย จินตนาการปฎิรูปสื่อ 2010-2020 : สื่อสิ่งพิมพ์เชิงวารสาร ของ อาจารย์พรรษาสิริ กุหลาบ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ใหาวิทยาลัย จุดที่น่าสนใจของงานวิจัยส่วนหนึ่งคือ บทสัมภาษณ์และบทสนทนา ในหัวข้อปัญหาและความท้าทายของสื่อสิ่งพิมพ์ โดยผู้ให้ข้อมูล ที่เป็นทั้งคนทำสื่อ และคนในวงการ
ต่อไปนี้คือ บทสัมภาษณ์ ที่ทำนายอนาคตของสื่อสิ่งพิมพ์ในอีก 10 ปีข้างหน้าได้อย่างดีที่สุด
สำหรับคนทำสื่อ อาจเจ็บปวด แต่นี่คือ ความจริง ทีไม่อาจปฎิเสธ ....

"เราหยิบหนังสือพิมพ์มาฉบับเดียว มันแทบเท่ากับว่าอ่านทุกฉบับแล้วล่ะ"
"แต่เรื่องเลวร้ายที่ทำให้คนไม่ค่อยซื้อหนังสือพิมพ์นอกเหนือจากอุดมการณ์ทางการเมืองกับเศรษฐกิจ ก็คือการทำหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ที่ข่าวไม่ว่าจะฉบับไหน เนื้อหาข่าวมันก็เหมือน ๆ กันหมด... ไม่มีอะไรแหวกแนวเลย ข้อนี้แหละทำให้คนอ่านรู้สึกว่าหนังสือพิมพ์ตกต่ำลง เพราะว่ามันไม่มีความลึกเหมือนแต่ก่อน ไม่ได้มีความแตกต่าง จนกระทั่งเราจะซื้อได้หลาย ๆ ฉบับ ทุกวันนี้เราอาจจะตัดสินใจซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับที่ถูกที่สุด หรือเนื้อหาเยอะที่สุดเพื่อให้มันคุ้มตังค์"
......บล็อกเกอร์
"สมัยนั้นเราจะได้ยินคนมาพูดปาดหูกันว่า เดี๋ยวไปเจอกันบนแผง คือมันเป็นการเยาะเย้ยกันว่า ได้ข่าวซีฟ (exclusive = ข่าวเดี่ยว, ผู้วิจัย) มาแล้ว แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มี เมื่อก่อนเราจะต้องไปหยิบฉบับนึงมาเพื่อดูว่า ของเพื่อนมีอะไรแล้ววันนี้เราไม่มีอะไร ฉะนั้น คุณไม่สามารถอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวได้ คุณต้องอ่านหนังสือพิมพ์หลาย ๆ ฉบับเพื่อดูว่ามันมีเรื่องอะไร แต่ว่าขณะนี้ เราหยิบหนังสือพิมพ์มาฉบับเดียว มันแทบเท่ากับว่าอ่านทุกฉบับแล้วล่ะ มันไม่มีความต่างจากนี้หรอก"
......นักรณรงค์ด้านสิทธิผู้บริโภค
"ลักษณะของสื่อหนังสือพิมพ์เนี่ย คือจะเล่นเรื่องอะไรที่เป็นกระแส ไม่อ่านมันสัก 10 วัน มันก็ไม่ตกข่าว... บางครั้งการอ่านหนังสือพิมพ์คือการกวาดสายตาบนแผงหนังสือพิมพ์ เสร็จแล้วก็คงไปติดตาม คือติดตามในรูปแบบที่ตนเองสนใจเฉพาะเรื่องนั้น แต่ว่าไอ้ประเภทภักดีต่อเล่มนั้น ๆ ประเภทอ่านแล้วเชื่อถือในข้อมูลเนี่ย พี่ว่ามันหมด มันหมดจริง ๆ"
.......บรรณาธิการนิตยสาร
"มันกลายเป็น template น่ะให้นักข่าวสายอื่น ๆ ทำตามด้วย เช่น นักข่าวการเมืองเนี่ย มันก็ต้องหาเรื่องเชิงบันเทิงมาลง เช่น คนทะเลาะกัน... คือวิธีการมันกลายเป็นบันเทิง...
...หนึ่งมันก็ต้องโทษคุณภาพของนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ด้วยล่ะ แต่สองก็คือว่า มันสะท้อนเหมือนกันนะว่า การที่คุณภาพของคนทำหนังสือพิมพ์มันตกต่ำลง ของนักข่าวต่ำลง มันสะท้อนว่าคุณภาพของสังคมไทยมันตกต่ำด้วยเหมือนกัน เพราะมันดันชอบข่าวแบบนี้"
.......บรรณาธิการนิตยสาร
"แล้วคุณก็ไม่สามารถทำข่าวที่ฉีกออก เพราะคุณทำข่าวที่เป็นกลุ่ม เป็นสายสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เพราะว่าออฟฟิศต้องการข่าวเร็ว ออฟฟิศก็เน้นข่าวปรากฏการณ์ ความเร็ว ขายข่าว บีบนักข่าว เอามาเร็ว ๆ เด็กก็ คือไม่ได้คิดอะไรเพราะแต่ละวันก็เหนื่อยอยู่แล้ว เจอออฟฟิศสั่งการอยู่ ก็เลยไม่ได้อะไรเกิดขึ้น ก็เลยเป็นแค่ผู้ส่งข่าว ไม่ใช่ผู้สื่อข่าว"
........ผู้สื่อข่าวรุ่นกลาง
"หน้าที่ในการให้รายละเอียด ให้ความรอบด้าน ให้แง่มุมต่าง ๆ ในข่าว ๆ หนึ่งที่วิทยุทีวีขาดไป เพราะฉะนั้นหน้าที่นี้เนี่ย ถ้าหนังสือพิมพ์ขาดหน้าที่นี้ไป ความโดดเด่นก็จะไม่มี แถมยังช้าอีก...
...ค่ำ ๆ เราก็ไปคุยกับแหล่งข่าว บางทีข่าวที่ได้ก็มาจากวงข้าว ตีสามตีสี่กลับบ้าน ไม่ต้องตื่นเช้ามาก เที่ยงไปทำงาน มันก็วนอยู่อย่างนี้ คือมันมีเวลาได้ประมวลข้อมูล ได้ไปถาม ได้ไปซอกแซกที่เขาไม่ได้แถลง แต่เดี๋ยวนี้มันต้อง real time ...เพราะว่ามันต้องเข้าไปสู่อุตสาหกรรมการส่งข่าวแบบทุกทาง"
.........ผู้สื่อข่าวรุ่นกลาง
"ตอนนี้เขาติด trap นะ เขาถูกดักอยู่กับข่าวเฉพาะหน้า real time จะใช้คำว่าอะไรก็ตาม แต่เขาไม่สามารถที่จะย่อยสิ่งที่เขาได้มา เขาไม่สามารถจะต่อยอด เขาไม่มีเวลา มันเหนื่อยเกินไปกว่าที่จะมาวิเคราะห์หรือแลกเปลี่ยนกับคนอื่น ๆ ...แต่เราบางครั้งละเลยปัญหาพื้นฐาน การพัฒนาศักยภาพพื้นฐานของการเป็นนักข่าวที่ดี อันนี้เป็นหัวใจสำคัญของอาชีพนี้ไม่ว่ายูจะผ่านช่องทางสื่ออะไรก็ตาม"
.........นักวิชาชีพอาวุโส
"ข่าวที่รายงานออกมามันก็ไม่ได้ถูกรายงานออกมาจากคนที่มีเข้าใจใน issue นั้น เพราะฉะนั้นโอกาสที่ information มันถูก distort หรือถูก present ออกมาในมุมที่ควรจะเป็นมันก็ยาก"
........ผู้บริหารสถาบันพัฒนาวิชาชีพวารสารศาสตร์
"ตอนสมัยที่ตัวเองเป็นนักข่าวเนี่ย เนื่องจากนักข่าวถูกให้สถานะที่สูง และที่สำคัญ เราอยู่ท่ามกลางศูนย์กลางของอำนาจ ทำให้เราไม่กลัวอำนาจ ทำให้เราไม่กลัวอำนาจ เราร่วมใช้อำนาจไปกับเขาด้วย...
...ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ ปตท.เอย หรือว่าย้อนกลับไปในช่วงการปั่นหุ้นปิคนิค นักข่าวกระทรวงคมนาคมได้รับหุ้นจากรัฐมนตรี รัฐมนตรีเนี่ยชักชวนให้นักข่าวมาซื้อ พอหุ้นมันล้มเนี่ยคนอื่นเจ๊งกันถ้วนหน้าเลย นักข่าวได้รับเงินคืนจากรัฐมนตรี ไม่มีใครพูดเรื่องนี้เลย"
........นักรณรงค์ด้านสิทธิผู้บริโภค
"เหมือนเป็นกระบอกเสียงนะบางที เพราะมันก็ใกล้ชิดไง แล้วการวางตัวก็ลำบาก คุณจะต้องอยู่กับเค้าเนี่ย คือต้องให้เค้าไว้ใจ ในขณะเดียวกันคุณก็ต้องกล้าตรวจสอบเค้า ซึ่งมันยากมากนะฮะ จริง ๆ มันยากมาก เหมือนเราเป็นคนตอแหลหรือเปล่า หรือเราเป็นคนกะล่อนหรือเปล่า ซึ่งมันเป็นศิลปะ ซึ่งทำได้นี่มันจะเจ๋งมาก แต่ว่ามันยากแล้วโอกาสที่จะไหลไปพร้อมกับเขานี่ มันง่าย"
........ผู้สื่อข่าวรุ่นกลาง
"หลายออฟฟิศที่ผมเคยเจอหรือเคยสัมผัสอยู่ ห้ามเขียนเลยอะไรที่กระทบกับ...เสี่ยงต่อการฟ้องร้อง ซึ่งจริง ๆ ก็ ถ้าสื่อไม่ตรวจสอบก็ไม่ต้องไปพูดถึงอะไรเลย เขียนแต่เรื่อง human interest ราคาถูก ป้องกันความเสี่ยง เพราะถ้าเกิดคุณโดนฟ้อง คุณเสียทันทีแล้วค่าทนายสองแสนห้า ไม่ว่าเราจะเขียนข่าว จะถูกแต่คือสองแสนห้าคือคุณโดน มันก็ทำให้เราต้องเซนเซอร์ตัวเองในระดับหนึ่ง"
........ผู้สื่อข่าวรุ่นกลาง
"พอเศรษฐกิจโรยพวกเราก็ตายกันไปหมดเลย ตายกันไปทั้งวิชาชีพทั้งจรรยาบรรณ"
"โฆษณาที่จะลงทุนซื้อหน้าสื่อในสื่อรายเดือนนี่นะฮะ ปรากฏการณ์ที่ชัดเจนก็คือ หลายปีที่ผ่านมาแล้วก็คงเป็นแนวโน้มทวีความเข้มข้นเรื่อย ๆ ขึ้นไปในอนาคตก็คือว่า มันจะไม่ได้จบหน้าโฆษณาในหน้าโฆษณาของมัน... แต่มันจะถูกเรียกร้องจากทั้งเจ้าของสินค้าทั้งเอเจนซี่ที่จะพยายามทำให้ content กับ ad มันถูกทำให้กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันหรือที่เราเรียกว่า advertorial มันก็จะกินพื้นที่มากขึ้นไปเรื่อย ๆ พูดง่ายๆ ว่า ผมเรียกมันว่าความ aggressive ของโฆษณาแหละ มันจะยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ"

........บรรณาธิการนิตยสาร
"อย่างที่เห็น เราเลยต้องควบคู่กันไป ถามว่าเรารู้สึกอึดอัดมั้ย เค้าก็รู้ว่าเราอึดอัด เค้าก็จะให้เราตอบคำถามเราเองโดยการที่เค้าตั้งคำถามว่า หนึ่ง ก่อนที่เราจะช่วยคนอื่นได้ เราก็ต้องเอาตัวเรารอด เพราะฉะนั้นตัวเราซึ่งหมายถึงคนทั้งบริษัทอาจจะพันกว่าคนเนี่ย ก็ต้องมีชีวิตอยู่รอดโดยที่ไม่ต้องถูกไล่ออก ไม่ต้องถูกปลดออก ไม่ต้องถูกรีไทร์ออกก่อน เพราะฉะนั้นทุกฝ่ายต้องช่วยกัน เพราะฉะนั้น ไอ้ conflict of interest ในเชิง marketing มันถึงเข้ามา... โดยรวมแล้ว สื่อติดขัดปัญหาเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจ พอเศรษฐกิจโรยพวกเราก็ตายกันไปหมดเลย ตายกันไปทั้งวิชาชีพทั้งจรรยาบรรณ แต่เมื่อไรที่เศรษฐกิจเติบโต บางทีเราก็ฟุ้งเหมือนกัน
.......บรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์และออนไลน์
นี่คือ ปัญหาและความท้าทายของสื่อสิ่งพิมพ์ ในวันที่โรยรา เต็มที.

แหล่งที่มา : http://www.prachachat.net

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่ 5

วัฒนธรรมการทำข่าวหนังสือพิมพ์ที่เปลี่ยนไป

“…เห็นได้ชัดว่า วู้ดเวิร์ดกับเบิร์นสไตน์คือนักข่าวคนสำคัญที่ทำข่าววอเตอร์เกต และสำคัญมากจนเราเริ่มเรียกเขาสองคนรวมกันว่าวู้ดสไตน์ แต่คนที่มีบทบาทอยู่ในโพสต์ที่ช่วยสนับสนุนการทำข่าวเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นก็มีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในฐานะของบรรณาธิการอำนวยการ เบ็น จึงเป็นแบบอย่างของผู้นำที่แบกรับความรับผิดชอบ เขากำหนดกฎพื้นฐานต่างๆ โดยเร่งด่วน และเร่งให้ทุกคนรุกคืบไปอีกก้าวหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด เพื่อติดตามข่าวอย่างไม่ย่อท้อ ท่ามกลางการประณามที่กระหน่ำโจมตีเราไม่เลิกรา และแผนร่วมมือกันคุกคามเราให้เกิดความกลัว …” นี่คือฉากการทำข่าวเจาะคดีวอเตอร์เกต ฉากหนึ่งที่ “แคเธอรีน เกรแฮม” เขียนเอาไว้ในหนังสือเรื่อง “บันทึกหน้าหนึ่ง” (Personal History) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ข่าวอื้อฉาวของ วอชิงตันโพสต์ ทำให้ ริชาร์ด นิกสัน ต้องลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี ค.ศ. 1974
อีกฉากหนึ่งเป็นบรรยากาศการทำข่าวของสื่อมวลชนไทยยุค พ.ศ. 2493 !
“...วันหนึ่งเวลาบ่าย สภาผู้แทนราษฎรได้เลิกประชุมค่อนข้างเร็วเป็นพิเศษ และมีผู้แทนราษฎรซุบซิบกันอยู่ที่เชิงบันไดสภาหินอ่อนแห่งพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นกลุ่มๆ และที่สโมสรสภาที่ข้าพเจ้านั่งอยู่เป็นประจำนั้น ก็มีการจับกลุ่มซุบซิบกัน เสียงซุบซิบเหล่านั้นฟังได้ว่า นายพลเผ่า ศรียานนท์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรองอธิบดีกรมตำรวจไทย กำลังดำเนินการก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ เพื่อสร้างรากฐานการเมืองทางพลเรือนให้แก่จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ผู้นิยมเล่นการเมืองโดยใช้กองทัพเป็นกำลังหลักมาตลอดชีวิต
....ข้าพเจ้ายังจำได้ว่า บ่ายวันนั้นเป็นบ่ายที่มีอากาศดีทีเดียว แต่ดินฟ้าอากาศนั้นก็เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วอย่างคาดไม่ถูกเหมือนกัน และก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวกับเหตุการณ์ คือ ข่าวย่อมเกิดขึ้นได้ทุกขณะและทุกฤดูกาลเสียด้วย นักข่าวสภาได้ทยอยกันกลับสำนัก หรือเร่ไปทางอื่น ข้าพเจ้ากับคุณชิต วิภาสธวัช และคุณทินกร บำรุงรัฐ ยังป้วนเปี้ยนอยู่ที่สภา เพื่อหาข่าว อาหารยังชีพของพวกเรา
....สมาชิกสภาคนหนึ่งได้มากระซิบว่า! วันนี้ คุณเผ่าเชิญพวกผู้แทนที่เป็นแฟนของรัฐบาลปฏิวัติรัฐธรรมนูญไปชุมนุมที่สวนอัมพร
....คำกระซิบสั้นๆ นี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ข่าวใหญ่กำลังเกิดขึ้นแล้ว เราทั้ง 3 คน คิดอย่างเดียวกัน และเมื่อเป็นข่าวก็ต้องไปดูด้วยตาตัวเอง และคุณชิตและคุณทินกรซึ่งเป็นตากล้องหนังสือพิมพ์ชื่อดังอย่างประชาธิปไตย ก็ขึ้นรถออสตินรุ่นปู่ขับลับไป...”
....นี่คือฉากการทำข่าวของคุณพิทย์ บุณยพุทธิ เมื่อ 54 ปีที่แล้ว (จากหนังสือ “เผ่า สารภาพ” ของคุณชิต วิภาสธวัช)
ทั้งสองฉากคือบรรยากาศและสีสันในการทำข่าวที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองฉากมีความเหมือนกันตรงที่เรื่องราวดังกล่าวสามารถสะท้อนจิตวิญญาณของนักข่าวได้อย่างเปี่ยมล้นและทรงพลังยิ่งนัก
แล้วนักข่าวหนุ่มสาวในปี พ.ศ. 2547 มีฉากชีวิตแห่งการงาน ด้วยการทำข่าวที่ไหนและอย่างไร ?

**วัฒนธรรม drive A ; เบ่งบาน
เริ่มต้นที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้สิ่งแวดล้อมและบรรยากาศได้เปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัย แต่ไม่พัฒนาอย่างเด่นชัด ห้องนักข่าวติดเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย เครื่องอำนวยความสะดวกในการทำข่าวครบครัน ทั้งคอมพิวเตอร์ติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เครื่องโทรสาร และโทรศัพท์สาธารณะหลายสิบเครื่อง นักข่าวยุคใหม่มีความพร้อมในการทำงานเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้วยอุปกรณ์เสริมมากมาย โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ โน้ตบุ๊กส่วนตัว พ็อกเกตพีซี และที่สำคัญ อุปกรณ์ในการทำข่าวจะต้องทันสมัย ใครใช้อุปกรณ์ตกรุ่นอาจกลายเป็นพวกหลุดแนว ส่วนยุทธวิธีการทำข่าวได้พัฒนาไปสู่ระบบพูล (Pool) อย่างเต็มรูปแบบ เช่น ฉากของนักข่าวที่กรูกันสัมภาษณ์แหล่งข่าวโดยมีนักข่าวขาประจำเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นคนยิงคำถาม จากนั้นก็แยกย้ายกันถอดเทป นักข่าวบางกลุ่ม บางคนจะเข้าสู่กระบวนการนำวัตถุดิบที่ได้พิมพ์ใส่จอคอมพิวเตอร์ โดยมีเพื่อนรุ่นพี่นั่งเล่นเกมออนไลน์เป็นกำลังใจ เมื่อพิมพ์ข่าวเสร็จ นักข่าวกลุ่มดังกล่าวจะส่งข่าวออนไลน์ผ่านเครือข่าย hotmail หรือ yahoo เข้าไปที่สำนักพิมพ์ต่างๆ ให้กับนักข่าวในสังกัดกลุ่มนั้นๆ เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ วันหนึ่งๆ อาจผลิตข่าวร่วมกัน 3-4 ชิ้น แล้วก็เก็บกระเป๋าเดินออกจากทำเนียบรัฐบาล พร้อมๆ กับข้าราชการ ยกเว้นวันอังคารซึ่งมีการประชุมคณะรัฐมนตรี อาจต้องผลิตข่าวมากชิ้นขึ้นนักข่าว “รุ่นน้อง” บางคนต้องตกอยู่ใต้ “อำนาจ” ของนักข่าวรุ่นพี่ไปโดยปริยาย ด้วยการทำหน้าที่พิมพ์ข่าว “รูทีน” วันละหลายข่าว ส่งให้เกือบทุกสำนักพิมพ์ เพราะนักข่าวรุ่นพี่ “มีอำนาจW ในการเช็กข่าวเอ็กซ์คลูซีฟมากำนัล หรือตอบแทนไม่ให้ “ตกข่าว” เป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้น นักข่าวรุ่นน้องที่ “ขบถ” ต่อวัฒนธรรม dirve A ไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจรุ่นพี่ รุ่นน้า อาจกลายเป็นพวกไม่มีเพื่อนในวงการเสร็จจากการทำข่าวร่วมกัน ต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้าน หรือไปใช้ชีวิตส่วนตัวดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมคอมพิวเตอร์ หรือบางกลุ่มอาจไปนั่งกินนั่งดื่มต่อ แล้วแต่รสนิยมของแต่ละกลุ่ม ขณะที่บรรณาธิการข่าว หรือหัวหน้าข่าวที่นั่งอยู่ในโรงพิมพ์ บางแห่งก็มีพฤติกรรมที่แย่ไม่แพ้กัน เช่น นักข่าวที่ตัวเองส่งไปทำข่าว ยังไม่ได้ส่งข่าวเข้ามาเลย แต่หัวหน้าก๊อบปี้ข่าว Breaking News จากเว็บไซต์ ผู้จัดการออนไลน์ หรือ เนชั่นออนไลน์ และ Mcot .net ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว ไปเรียบร้อยทั้งดุ้น บางทีลอกข่าวเพลิน ลืมลบคำว่า “สำนักข่าวไทย” ยังเคยปรากฏมาแล้ว
นักวิชาการที่สอนอยู่ในคณะวารสารศาสตร์ วิจารณ์ว่า “ยุคนี้ ทั้งนักข่าวและหัวหน้าข่าว ต่างมักง่ายพอกัน”

**ข่าวพูลรุ่ง...ข่าวเจาะตาย
นักข่าวอาวุโส อายุงาน 15 ปีผู้หนึ่ง กล่าวว่า เชื่อหรือไม่ว่า นักข่าวใหม่ๆ บางคนพิมพ์ข่าวกัน 6-7 แผ่น แต่ไม่รู้ว่า “ประเด็น” อยู่ตรงไหน ประเด็นอะไรใหม่ หรือประเด็นเก่า พิมพ์ใส่เข้ามาหมด การทำงานของพวกเขาเริ่มด้วยการใช้ไมค์ หรือเทปจ่อปากแหล่งข่าว เสร็จแล้วก็ถอดเทปร่วมกันเป็นกลุ่ม ๆ เบื้องหลังการทำข่าวแบบอุตสาหกรรมข่าวเช่นนี้เอง ทำให้ข่าวแต่ละฉบับเหมือนกันไปหมด ชนิดที่เรียกว่าแทบทุกตัวอักษรผลพวงที่เกิดขึ้นตามมาคือ นักข่าวรุ่นใหม่เขียนข่าวไม่เป็น ภาษาข่าวไม่สละสลวย เพราะไม่ได้เขียนข่าวเอง แต่ให้เพื่อนเขียนข่าวให้ ตัวเองมีหน้าที่ฟังเทปแล้วบอกให้เพื่อนพิมพ์ข่าว นักหนังสือพิมพ์อาวุโสเคยเล่ากันว่า เมื่อก่อนในวงการนักข่าวถือเรื่องนี้กันมาก หากข่าวใดนักข่าวไม่ได้ทำเอง เขาจะไม่นำข่าวนั้นไปตีพิมพ์ในฉบับของตนเองเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นการเสียศักดิ์ศรี และไม่มีความภาคภูมิใจ เมื่อสิบปีก่อนมีเรื่องเล่าว่า นักข่าวคนหนึ่งไปสัมภาษณ์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่บ้านพักริมปิง จ.เชียงใหม่ หลังจากสัมภาษณ์เสร็จ อาจารย์หม่อมถามว่า “จะเอาข่าวไปลงตีพิมพ์ที่ไหน” นักข่าวบอกว่า 2 ฉบับคือ ฉบับของตัวเอง และส่งข่าวให้เพื่อนด้วย 1 ฉบับ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์บอกกับนักข่าวคนที่ไปสัมภาษณ์ว่า “อย่าไปส่งข่าวนี้ให้เพื่อนอีกสำนักพิมพ์ เพราะมันไม่ได้ทำข่าวเอง มันไม่มีสิทธิ์ได้ข่าว” พร้อมกับโทรศัพท์ไปสั่งโรงพิมพ์ของเพื่อนนักข่าวคนนั้นว่า “ห้ามลงข่าวนี้ ...เด็ดขาด”
ปรากฏการณ์ที่ใช้ระบบพูลข่าว ทำให้นักข่าวบางคนที่ไม่ได้ไปทำข่าว แต่หนังสือพิมพ์ของตนเองมีข่าวที่แหล่งข่าวพูดครบถ้วน ถูกแหล่งข่าวต่อว่า “ผมไม่ได้ให้สัมภาษณ์คุณสักหน่อย ...คุณเอาข่าวไปลงได้อย่างไร มันผิดจริยธรรมอย่างแรง คุณรู้มั้ย”
นี่คือภาพแตกต่างระหว่างอดีตกับปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง

*** “การเฝ้าข่าว”…วัฒนธรรมที่หายไป
ทุกวันนี้ไม่น่าแปลกที่นักข่าวรุ่นใหม่จะไม่รู้จักอดทน อดกลั้น รอคอยโอกาส พวกเขาไม่รู้จักการเฝ้าข่าว และที่สำคัญ วัฒนธรรมการทำข่าวเจาะสูญหายไปท่ามกลางความทันสมัยและไฮเทค ภาพสะท้อนที่ชัดเจนเกิดขึ้นในการทำข่าววันประชุมสภา กล่าวกันว่า การทำข่าวประชุมสภาจะสะท้อนความอดทนของนักข่าวได้อย่างดีที่สุด เพราะการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแต่ละฉบับ จะต้องใช้เวลาประชุมยาวนาน บางครั้งต้องพิจารณาข้ามวันข้ามคืน เมื่อก่อนจะเห็นทั้งนักข่าวและช่างภาพนั่งรอข่าวกันไม่ยอมถอย แต่ พ.ศ.นี้ ภาพการทำข่าวเช่นนั้นไม่มีอีกแล้ว เพราะนักข่าวจะใช้ระบบพูล จัดคิวกันไปฟังการประชุม แล้วสลับกันลงมาพิมพ์ข่าว เพื่อป้อนเข้าสู่ระบบ drive A ; ถ้าข่าวผิดก็จะผิดเหมือนกันหมดทุกฉบับ อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การทำข่าวงบประมาณรายจ่ายประจำปี เมื่อก่อนกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี จะปิดห้องประชุมลับ นักข่าวเข้าไปทำข่าวไม่ได้ ต้องเจาะข่าวจากกรรมาธิการแต่ละคนที่เดินมาเข้าห้องน้ำ แต่หลังจากประตูห้องกรรมาธิการงบประมาณเปิดกว้างให้นักข่าวเข้าไปนั่งฟังการประชุม ปรากฏว่าไม่มีนักข่าวสนใจเข้าไปทำข่าว ขนาดเอกสารงบประมาณยังไม่มีนักข่าวสนใจจะหยิบไปอ่าน เพื่อศึกษาและวิเคราะห์เจาะลึกไส้ในของงบประมาณนักข่าวรัฐสภา ผู้เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของนักข่าวการเมืองมาเกือบ 20 ปี เล่าว่า “นักข่าวยุคนี้ทำงานสบาย บางคนมาทำงานเกือบเที่ยง หรือบ่ายโมง มาถึงสภาปั๊บก็เปิดโน้ตบุ๊ก อ่านข่าวออนไลน์ โดยเลือกอ่านข่าวกระแสเพียงไม่กี่ข่าว จากนั้นก็ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง โทรศัพท์เช็กแหล่งข่าว และพิมพ์ข่าวอีกชั่วโมง เป็นอันเสร็จภารกิจประจำวัน พวกนี้ใช้เวลาทำงานเพียงวันละไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น”

***ยุคของ พี.อาร์.ภิวัตน์
เมื่อวัฒนธรรมของนักข่าวบางกลุ่ม บางคน มุ่งไปสู่ความทันสมัย แต่ไม่พัฒนา ทำให้นักข่าวเลือกอะไรที่ง่ายๆ เร็วๆ โดยไม่ต้องใช้หัวสมองคิดมากนัก ปรากฏการณ์ “มักง่าย” ทางสติปัญญา จึงกลายเป็นกระแสหลักร่วมสมัยคนที่อ่านเกมนี้ออกและได้ประโยชน์จากเกมนี้มากที่สุด คือ นักประชาสัมพันธ์ หรือ พี.อาร์. ซึ่งหลายคนกลายพันธุ์มาจากนักข่าว หรืออดีตนักข่าว ที่มีความเชี่ยวชาญด้านข่าวสาร และมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับนักข่าวหลายสำนักทุกวันนี้นักข่าวชอบ “ข่าวแจก” เพราะ พี.อาร์.ผู้ชำนาญการ ล้วนเป็นนักข่าวเก่าที่มีประสบการณ์สูงในการเลือกประเด็นข่าวที่น่าสนใจ เนื้อข่าว และพาดหัวข่าว กล่าวกันว่า พวกเขาสามารถเขียนข่าว พี.อาร์.ให้เป็นข่าวหน้า 1 ได้อย่างสบายๆ ไม่แพ้คนที่นั่งในกองบรรณาธิการงานของ พี.อาร์.อย่างง่ายที่สุด คือ การล็อบบี้เพื่อนๆ น้องๆ ให้ไปทำข่าว ด้วยการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว ยิ่งนักข่าวไปทำข่าวมากเท่าไร ยิ่งเป็นการเพิ่มบารมีและเพิ่ม Power ให้แก่ พี.อาร์. และแน่นอนว่า “แหล่งข่าว” ย่อมพอใจ และยินดีที่จะตอบแทน “ค่าประสานงาน” ให้แก่ พี.อาร์.ขาใหญ่เป็นตัวเลขหลายหลักหลายครั้ง พี.อาร์.ขาใหญ่มักจะนัดให้นักข่าวได้สัมภาษณ์พิเศษ “แหล่งข่าว” หากบทสัมภาษณ์ได้ตีพิมพ์ลงหน้า 1 ย่อมทำให้ พี.อาร์.นำไปอ้างเป็นผลงานได้อย่างสบายๆ นับว่าสมประโยชน์กันดี ระหว่าง พี.อาร์.ผู้เจนโลกกับนักข่าวผู้นิยมความมักง่าย
จากนั้น พี.อาร์.มักจะคืนกำไรให้แก่น้องๆ นักข่าว โดยการพาไปเลี้ยง พาไปร้องเพลงคาราโอเกะ
ปรากฏการณ์เช่นนี้เองที่ทำให้ “แหล่งข่าว” บางคนมีภาพลักษณ์ที่ดูดีเกินจริง และแหล่งข่าวพวกนี้สามารถครองพื้นที่ข่าวหน้า 1 ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่เบื้องหลังซ่อนสิ่งปฏิกูลไว้มากมาย แต่เมื่อนักข่าวคุ้นเคยกับ “ข่าวแจก” มากกว่า “ข่าวเจาะ “
ปรากฏการณ์ของนักข่าวพันธุ์ใหม่ drive A ; อาจเป็นผลพวงของระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยในยุคสังคมข้อมูลข่าวสาร แต่ข่าวสารที่ผู้บริโภคได้รับจากการอ่านหนังสือพิมพ์มีคุณภาพเพียงพอหรือไม่ ...ยังน่าสงสัย ?

แหล่งที่มา : http://www.tja.or.th